ผื่นภูมิตก
- กรุงเทพทิพโอสถ
- 20 ต.ค.
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 23 ต.ค.

อาการ "ภูมิ" ตก ผื่นขึ้น หรือ ผื่นภูมิตก มักเกิดจาก ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อและสิ่งกระตุ้นจากภายนอกได้ดี ทำให้เกิดการอักเสบและผื่นขึ้นได้ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อ, ภูมิแพ้, หรือโรคภูมิต้านตนเอง (SLE) ควรสังเกตอาการร่วมอื่นๆ เช่น อ่อนเพลีย, ป่วยบ่อย หรือมีปัญหาทางเดินอาหาร
เมื่อร่างกายอ่อนแอลงจากสาเหตุต่าง ๆ — เช่น เป็นหวัดหรือติดเชื้อ พักผ่อนไม่เพียงพอ กินอาหารที่ขาดสารอาหารหรือเป็นอาหารแสลง ดื่มน้ำน้อย เกิดความเครียดสะสม หรือสัมผัสมลภาวะบ่อยครั้ง — ระบบภูมิคุ้มกันจะถูกกดหรือทำงานผิดปกติ ผลลัพธ์คือการควบคุมสิ่งแปลกปลอมและการจัดการของเสียในร่างกายด้อยลง กระบวนการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองช้าลง ของเสียจากเซลล์และผลิตภัณฑ์การอักเสบตกค้างมากขึ้น ทำให้เกิดภาวะความร้อนภายในร่างกายเพิ่มขึ้น ร่างกายจึงพยายามขับ “ของเสีย” และ “ความร้อน” ออกมาเป็นอาการแสดงต่าง ๆ — หนึ่งในอาการที่พบบ่อยคือผื่นคันหรือผื่นภูมิตก
สาเหตุของผื่นภูมิตก
ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ: เมื่อระบบภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง ร่างกายจะไม่สามารถป้องกันสิ่งแปลกปลอมได้ดี ทำให้เกิดผื่นหรืออาการอักเสบที่ผิวหนังได้
การติดเชื้อ: การติดเชื้อไวรัส, แบคทีเรีย หรือเชื้อรา อาจทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง และนำไปสู่การเกิดผื่น เช่น โรคลมพิษได้
โรคภูมิแพ้: ภูมิคุ้มกันที่ไวเกินไปต่อสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น, เกสรดอกไม้, หรือขนสัตว์ ทำให้เกิดอาการแพ้และผื่นขึ้นได้
โรคภูมิต้านตนเอง (SLE): เป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันทำร้ายเนื้อเยื่อของตัวเอง ซึ่งทำให้เกิดอาการต่างๆ รวมทั้งผื่นแดง, โดยเฉพาะบริเวณที่โดนแสงแดด, อ่อนเพลีย, ปวดข้อ, และผมร่วง
ความเครียด: ความเครียดส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ภูมิตกและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผื่นและปัญหาสุขภาพอื่นๆ
การเกิดผื่นภูมิตกมีลักษณะสำคัญดังนี้
มักเกิดขึ้นเมื่อต่อมภูมิคุ้มกันหรือกลไกการกำจัดของเสียอ่อนแอ ทำให้การตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นเป็นไปอย่างไม่สมดุลและยืดเยื้อ
ลักษณะทางผิวหนังมักเป็นผื่นคัน แดง หรือลอก โดยอาจเกิดกระจุกบริเวณที่ร่างกายมีการสะสมของความร้อนหรือที่ระบบน้ำเหลืองไหลผ่านบ่อย ๆ
หากปัจจัยพื้นฐานยังไม่ถูกแก้ เช่น ขาดการพักผ่อน สารพิษสะสม หรือโภชนาการไม่ดี อาการมักจะกลับมาได้ง่ายขึ้นและรุนแรงขึ้น
การจัดการที่ได้ผลต้องผสาน 3 แกนหลัก
แก้ที่ต้นเหตุเชิงพฤติกรรม: พักผ่อนให้พอ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ลดแอลกอฮอล์/ของทอดจัด เลือกอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและจุลธาตุที่จำเป็น ลดความเครียดด้วยการผ่อนคลายและจัดการสิ่งแวดล้อม
การดูแลภายนอกผิวหนัง: หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและมอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยน
เสริมการทำงานภายในของระบบภูมิคุ้มกันและน้ำเหลือง: มาตรการนี้เป็นแนวทางเสริมที่ช่วยปรับสมดุลการตอบสนองของร่างกาย ลดการตกค้างของของเสีย และสนับสนุนการฟื้นตัวโดยรวม
ผลิตภณฑ์ที่แนะนำ
ยาประดงกับผื่นภูมิตก — ทำงานอย่างไร
ตำรับยาประดงในแบบที่ปรับใช้ร่วมสมัยประกอบด้วยสมุนไพรที่มีคุณสมบัติสำคัญหลายด้าน ซึ่งเมื่อนำมาใช้อย่างถูกต้องและปลอดภัย จะช่วยสนับสนุนการฟื้นสภาพของร่างกายในลักษณะต่อไปนี้
ฟอกเลือดและฟอกน้ำเหลืองให้ไหลเวียนดีขึ้น: สมุนไพรบางชนิดมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนและช่วยให้น้ำเหลืองไหลเวียนดีขึ้น ทำให้การขนส่งเซลล์ภูมิคุ้มกันและการกำจัดของเสียจากเนื้อเยื่อตรงจุดที่จำเป็นดีขึ้น
ส่งเสริมการขจัดของเสียผ่านระบบขับถ่ายตามปกติ: การสนับสนุนการทำงานของตับ ไต และระบบขับถ่ายโดยรวมช่วยลดการตกค้างของเมตาบอไลท์และผลิตภัณฑ์การอักเสบ ลดภาระที่ระบบภูมิคุ้มกันต้องจัดการ
ลดการอักเสบและปรับภูมิคุ้มกันให้สมดุล: สารออกฤทธิ์บางชนิดในสมุนไพรแสดงฤทธิ์ต้านการอักเสบและมีศักยภาพในการปรับการตอบสนองของเซลล์ภูมิคุ้มกัน (immunomodulatory) ทำให้การกระตุ้นเกินจำเป็นลดลง
ปรับสมดุลความร้อนในร่างกาย: เมื่อการไหลเวียนเลือดดี ของเสียถูกขจัดเร็วขึ้น ความร้อนส่วนเกินที่เกิดจากการอักเสบลดลง จึงลดโอกาสที่ผิวจะแสดงออกมาเป็นผื่นรุนแรง
สามารถปรึกษาแพทย์ฯผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี! เพราะเราคือ
กรุงเทพทิพโอสถ "เคียงข้าง...ทุกลมหายใจ"
LINE OA: @bangkoktiposod
โทร. 02-441-4966 ถึง 67
Facebook: http://www.facebook.com/bangkoktiposod
อ้างอิง
World Health Organization. (2018). Nutrition and immunity. Geneva: WHO.
Calder, P.C. (2013). Feeding the immune system. Nature Reviews Immunology, 13(10), pp. 733–744.
Nestle, F.O., Di Meglio, P., Qin, J.Z. & Nickoloff, B.J. (2009). Skin immune sentinels in health and disease. Nature, 445(7130), pp. 924–930.
Diepgen, T.L. & Coenraads, P.J. (1999). The epidemiology of contact dermatitis. International Archives of Occupational and Environmental Health, 72(8), pp. 496–506.

